Bittorrent

BitTorrent,tracker,torrent,hdd,seed,bitcomet,utorrent, connectable,bit,torrent,bit,bitcomet,p2p,file sharing,share,download,upload,speed,trackers,leecher,mininova,

Tuesday, November 28, 2006

มาควบคุม uTorrent ผ่านเวบกัน


Download uTorrentWEB =>


ขั้นตอนมีดังนี้

1.เปิดโปรแกรม uTorrent ทำการเซ็ทอัพเพื่อเปิดใช้ฟังก์ชันผ่านเวบ
2.ทำการติดตั้งและรันโปรแกรมอัพเดทไอพี
3.เปิดการควบคุม uTorrent ผ่านเวบโดยใช้จิ้งจอกไฟ

ทีนี้เราก็ไม่พลาดไฟล์ใดๆแล้ว ที่ไหนเล่นเวบได้ก็ดูแลมิวน้อยได้

1.การเซ็ทอัพที่ uTorrent

ไปที่ Options --> Preferences



Advance --> Web UI



ติ๊ก Enable Web Interface แล้วตั้ง user และ pwd กด OK

ไปที่ Options --> Preferences เปลี่ยนหมายเลขพอร์ทที่ใช้ให้ตรงกับที่ fwd ไว้ที่เร้าท์เตอร์ กด OK



ก็เสร็จส่วนของการเซ็ทมิว


2. การเซ้ทอัพตัวอัพเดทไอพี

การเซ็ทชื่อเครื่องถาวรบนอินเทอร์เนท ปกติถ้าเราใช้บริการ ADSL แบบ Fixed ip ก็จะไม่มีปัญหาอะไร เนื่องจากสามารถผูก ip นั้นไว้กับชื่อที่เราตั้ง (Domain Name) ได้เลย (แต่ราคาแบบฟิกซ์ไอพีจะแพงกว่า) แต่ถ้าเราใช้บริการ ADSL ทั่วไป ip จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทำให้ผูก Domain Name โดยตรงไม่ได้ต้องผ่านบริการอัพเดท ip เรียกว่า Dynamic DNS
ในตัวอย่างจะเป็นการสมัครใช้บริการฟรีของ No-IP.com
ทำได้โดย
1.ไปที่ของฟรี (จน)



2.กดสมัครบริการ



3.ใส่ข้อมูลการสมัคร(ต้องใช้อีเมลจริงของเราเพราะต้องมีการยืนยัน)



4.ถึงขั้นตอนการเพิ่มโฮสท์



5.ตรง Host Name เลือกชื่อที่เราต้องการแล้วตามด้วย Domain ซึ่งในที่นี้เป็นของฟรีจึงจำเป็นต้องมีคำว่า No-IP อะนะ :lol: :lol: :lol: :lol: :-P



** - ตรง Host Type ให้เลือกอันแรก (A) น่าจะหมายถึงอัตโนมัติรึเปล่า ;P
- ตรง IP Address มันจะดีเทคอัตโนมัติให้เราใช้ค่าที่มันใส่ให้เลยไม่ต้องเปลี่ยน

6.กดปุ่มสร้างก็จะเสร็จสิ้นการลงทะเบียน



7. ต่อไปเราก็ไปดาวน์โหลดโปรแกรมที่ใช้อัพเดท ip มาลงซะ 600K+





8.ทำการติดตั้งโปรแกรม










้้ใส่ข้อมูลอีเมลและพาสเวิร์ดที่เราพึ่งทำการลงทะเบียนไป



มันก็จะขึ้นชื่อโฮสท์ที่เราสร้างขึ้นมาให้ แสดงว่าเครื่องเราออนไลน์ได้แล้ว




ทุกครั้งที่เราจะใช้ชื่อเครื่องเราก็ต้องเปิดโปรแกรมเพื่อให้มันอัพเดท ip ให้กับชื่อเครื่องเราแบบอัตโนมัติ (Dynamic Update Client DUC)

คราวนี้ก็ได้ชื่อถาวรแบบฟรีๆแล้ว

3. การใช้งานเปิดจิ้งจอกไฟมากดที่ Home ทำการเปลี่ยนข้อมูลดังนี้

localhost=ชื่อเครื่องที่เราลงทะเบียนไว้กับ No-IP
12345=พอร์ทที่เราใช้ในมิว

ทำการพิมพ์ที่อยู่ลงไปดังนี้

localhost:12345/gui กด enter จะมีกล่องโต้ตอบมาให้ใส่ user/pwd ที่ตั้งไว้แล้วกด OK



ก็จะติดต่อมิวได้แล้ว




cradit :ppp

Saturday, November 25, 2006

Flush Torrent

ใช้เพื่อ ในกรณีไฟฟ้าดับ ปิดเครื่องแบบกระทั่นหัน ปิดเน็ต ปิดโปรแกรม กระทันหัน แล้วในหน้าเวบเรา มีการโหลด - ปล่อย ค้างอยู่ แล้วจะมีชื่อเราขึ้นหลายๆ ชื่อในไฟล์ๆ เดียวกัน

เราก้อต้อง กด เพื่อ close ให้เหลือ ตัวที่เราเปิด โหลด อยู่ จิงๆๆ ไงคับ




Web statistics

Thursday, November 09, 2006

วิธีแก้ความสูงตัวหนังสือของไฟล์ซับ .idx

วิธีแก้ความสูงตัวหนังสือของไฟล์ซับ .idx .sub

ให้เปิดไฟล์นามสกุล .idx ด้วย notepad

แล้วให้ลงไปที่บรรทัด

Quote:

# Image scaling (hor,ver), origin is at the upper-left corner or at the alignment coord (x, y)
scale: 100%, 100%



แล้วแก้เป็น

Quote:

# Image scaling (hor,ver), origin is at the upper-left corner or at the alignment coord (x, y)
scale: 100%, 115%



หรืออยากให้มันสูงขึ้นหรือต่ำลง ให้แก้ที่ 115% จะขึ้นจะลงแก้ตรงนี้นะครับ

เพราะไฟล์ซับชนิดนี้ รองรับสำหรับ dvd จะเข้าไปแก้ตัวหนังสือไม่ได้
แต่มันมีปัญหาเวลาเราโหลดหนังมาไม่ว่าจะจากที่ไหนตัวหนังสือจะอยู่สูงมากดูเกะกะลูกตา
จึงเอาความรู้ที่ทดสอบมาแล้วได้ผลมาบอกต่อๆกัน
ในกรณีใครที่แปลงหนังเองหรือ ไม่ได้แปลงหนังก็ตามเอาไว้เพิ่มความรู้ขึ้นอีก

aottoo

Web statistics

NTFS VS FAT32 อันไหนเจ๋งกว่ากัน

เรื่องที่ผมจะพูดถึงต่อไปนี้ก็คือเรื่องของไฟล์ซิสเต็ม (File System) สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์นั่นเอง ซึ่งจะว่าไปมันก็ไม่ได้ใหม่อะไรหรอกครับ เพราะว่ามันมีมาตั้งแต่สมัย MS-DOS กัน

แล้ว เพียงแต่ว่าตอนนั้นไม่ค่อยได้มีใครพูดถึงกัน ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่ามันยังไม่ได้มีระบบอื่นหลากหลายเหมือนอย่างในปัจจุบันนั่นเอง... ระบบปฏิบัติการที่ต่างกัน มันก็จะมีไฟล์ซิสเต็มที่ต่างกัน

ไปด้วย อย่างเช่น MS-DOS และ Windows 95 นั้นจะมีไฟล์ซิสเต็มเป็น FAT16 ส่วน Windows 98 นั้นจะเป็น FAT32 (FAT ย่อมาจาก File Allocation

Table) แต่หากเป็น Windows NT ก็จะเป็น NTFS (NTFS ย่อมาจาก NT File System)... ถ้าหากมันแยกกันอยู่แบบนี้ก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่จะต้องงงอะไรกันมาก

มายครับ ต่างคนต่างใช้กันไป แต่ปัญหามันเกิดขึ้นเมื่อตอน Windows 2000 ได้คลอดออกมาดูโลกภายนอกนี่สิครับ เพราะว่าเจ้าระบบปฏิบัติการรุ่นนี้มันดันใช้งานได้ทั้งไฟล์ซิสเต็มแบบ

FAT32 และ NTFS (Windows XP ล่าสุดนี่ก็เช่นกัน) พอมือใหม่ที่อยากลองของใหม่อย่าง Windows 2000 หรือ Windows XP ทำการติดตั้งแล้วเจอคำถามว่าจะ

Format โดยใช้ไฟล์ซิสเต็มแบบไหน FAT หรือ NTFS เข้าให้ ก็ต้องมานั่งคิดกันว่า แล้วอะไรมันดีกว่ากันล่ะ?!? FAT16

เจ้า FAT16 เนี่ยเป็นไฟล์ซิสเต็มที่มีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524 หรือ 20 ปีเข้าไปแล้ว (ตั้งแต่สมัยผมอายุได้สองขวบปี) โดยความจริงแล้วเจ้า FAT16 นั้นถูกออกแบบมาเพื่อจะใช้งาน

กับไฟล์ต่างๆ บนแผ่นดิสก์เก็ต (สำหรับน้องๆ รุ่นใหม่ อาจจะยังไม่เคยรู้มาก่อนว่าเมื่อก่อนเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลไม่มีฮาร์ดดิสก์นะครับ คุณของแบบนี้เมื่อก่อนนั้นแพงมาก สมัยผมเรียนอยู่

ประถมปลาย มีวิชาคอมพิวเตอร์ เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง บูตด้วยแผ่นดิสก์แล้วไปดึงข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์ที่อยู่ในเครื่องเซิร์ฟเวอร์ครับ นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้ใช้งานระบบเครือข่าย แต่ว่าดันไม่

เคยรู้ตัวเลยว่านั่นเป็นระบบเครือข่าย) แล้วต่อมาก็ได้มีการปรับแต่งเล็กๆ น้อยๆ เพื่อที่จะให้มันใช้งานกับฮาร์ดดิสก์ได้ และยังสามารถที่จะใช้งานกับชื่อของไฟล์ที่ยาวกว่าเมื่อก่อน (เมื่อก่อนระบบ

FAT16 สามารถใช้งานกับไฟล์ที่มีชื่อยาวเพียง 8.3 ตัวอักษรเท่านั้น)... ข้อดีของไฟล์ซิสเต็มแบบ FAT16 ก็คือ มันสามารถใช้งานร่วมกับระบบปฏิบัติการที่หลากหลายได้ เช่น

Windows 95, Windows 98, Windows ME, OS/2, Linux, และบางเวอร์ชันของ UNUX... แต่ว่า Windows NT ที่มีระบบไฟล์ซิสเต็มเป็น NTFS

จะมองไม่เห็นครับ และในทางกลับกันระบบ FAT ก็จะมองฮาร์ดดิสก์ที่เป็น NTFS ไม่เห็นเช่นกัน... หลายคนคงอยากเถียงว่าตอนเล่นในห้องคอมพิวเตอร์ หรือที่บริษัท ก็ยังสามารถที่จะไปดึง

ข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์ของเครื่องเซิร์ฟเวอร์ที่เป็น Windows NT หรือ 2000 ที่เป็น NTFS ได้เลย แถมเครื่องเซิร์ฟเวอร์ก็ยังมาดึงข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์ที่เป็น FAT16 หรือ FAT32 ได้

ด้วย... อันนี้ต้องทำความเข้าใจนะครับว่า ในรูปแบบของระบบเครือข่ายนั้น หากคุณไปดึงข้อมูลที่แชร์เอาไว้ในเครื่องอื่นๆ มันจะไม่สนใจหรอกครับ ว่าฮาร์ดดิสก์เครื่องนั้นมีไฟล์ซิสเต็มเป็นแบบไหน

มันสนแค่ว่าข้อมูลเหล่านั้นถูกแชร์เอาไว้หรือไม่ และมีอยู่จริงหรือไม่ เท่านั้นเองครับ... แต่ปัญหาของ FAT16 ที่ทำให้มันต้องสูญพันธุ์ไปตามกาลเวลาก็คือจำนวนสูงสุดของคลัสเตอร์ต่อพาร์ติชัน

(Maximum number of clusters per partition) นั้นถูกกำหนดเอาไว้ตายตัว ดังนั้นเมื่อฮาร์ดดิสก์มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น แต่ว่าจำนวนคลัสเตอร์ยังเท่าเดิม ก็หมายความ

ว่าขนาดของคลัสเตอร์ก็จะใหญ่ขึ้นตามด้วย อย่างในกรณีของฮาร์ดดิสก์ขนาด 2GB นั้นจะมีคลัสเตอร์ที่ใหญ่ถึง 32KB นั่นก็หมายความว่า ต่อให้เราพิมพ์เอกสารที่มีตัวอักษรเพียง 10 ตัว แต่ขนาด

ของไฟล์ก็จะมีขนาดถึง 32KB ซึ่งเป็นขนาดเล็กสุดของคลัสเตอร์ทีเดียว ซึ่งแสดงว่าระบบ FAT16 นั้นใช้งานพื้นที่ของฮาร์ดดิสก์ได้อย่างสิ้นเปลืองเอามากๆ ทีเดียว... นอกจากนี้ขีดจำกัดเรื่อง

ขนาดสูงสุดของฮาร์ดดิสก์ที่มันรองรับได้ก็เป็นข้อเสียอีกเรื่องหนึ่ง ก็อย่างที่บอกนั่นแหละครับว่าระบบ FAT16 นั้นแรกเริ่มเดิมทีถูกออกแบบมาเพื่อจะใช้งานกับแผ่นดิสก์ที่สมัยนั้นมีขนาดเพียง

1.44MB อย่างมาก ดังนั้นในยุคแรกๆ จึงมีปัญหาตามมาเมื่อระบบ FAT16 ใน MS-DOS ยุคแรกๆ สามารถรองรับฮาร์ดดิสก์ได้เพียง 32MB เท่านั้น!! แต่ก็ได้ถูกแก้ไขให้รองรับได้เป็น

128MB ต่อมาใน MS-DOS 4.0 และเรื่อยมาเป็น 2GB ในปัจจุบัน แต่ก็อย่างที่เห็นตอนนี้แหละนะครับ ว่าฮาร์ดดิสก์ขนาด 2GB นั้นหาซื้อไม่ได้แล้ว ขนาดผมจะไปเดินหาซื้อฮาร์ดดิสก์

ขนาด 10.2GB ผมยังหาซื้อแทบไม่ได้เลย ในตลาดบ้านเราตอนนี้ผมว่า 20GB นี่ต่ำสุดแล้วครับ (และอีกไม่นานผมว่า 30GB นี่แหละ จะต่ำสุด) ดังนั้นตอนที่ไมโครซอฟต์ออก Windows

95 OSR2 ก็เลยภูมิใจเสนอ FAT32 ที่ใช้ข้อมูล 32 บิตในการอ้างอิงถึงที่อยู่ของคลัสเตอร์ (FAT16 ใช้เพียง 16 บิต) ทำให้สามารถที่จะมีจำนวนของคลัสเตอร์บนพาร์ติชันได้มากกว่า

และสามารถแก้ปัญหาของ FAT16 ในบางเรื่องได้ครับ FAT32

คุณระบบ FAT32 เนี่ย แรกเริ่มเดิมทีก็อย่างที่บอกไปเมื่อตะกี้ว่าออกมาพร้อมกับ Windows 95 OSR2 (Service Pack 2) และเป็นแค่เพียง FAT16 ที่ได้รับการแก้ไข

เพิ่มเติม เพื่อที่จะได้มีจำนวนคลัสเตอร์ต่อพาร์ติชันมากขึ้น ดังนั้นเลยมีความสามารถที่จะรองรับฮาร์ดดิสก์ที่มีขนาดใหญ่สูงสุดได้ถึง 2TB (2000GB) ทีเดียว แต่อย่างไรก็ดี มันก็แลกมากับการ

สูญเสียความสามารถในการใช้งานร่วมกับระบบปฏิบัติการที่หลากหลายไปครับ... FAT16 และ FAT32 มีข้อด้อยเหมือนๆ กันอยู่เรื่อง ก็คือ มันไม่สนับสนุนการบีบอัดข้อมูล การเข้ารหัสข้อมูล

และไม่มีฟีเจอร์ในเรื่องของการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลด้วยการกำหนดสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลครับ NTFS

NTFS หรือ NT File System นั้นชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าน่าจะเปิดตัวบนระบบปฏิบัติการ Windows NT แน่นอน เจ้า NTFS เนี่ยแตกต่างจาก FAT โดยสิ้นเชิงครับ มันมีทั้ง

ความสามารถในการบีบอัดข้อมูลแบบไฟล์ต่อไฟล์ มีความสามารถในการกำหนดโควต้าการใช้งานพื้นที่บนฮาร์ดดิสก์ มีความสามารถในการกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลให้กับผู้ใช้งานแต่ละคน และยังมี

ความสามารถในการเข้ารหัสข้อมูลได้ด้วย ทว่าข้อเสียของ NTFS ในยุคของ Windows NT ก็คือมันไม่สามารถมองเห็นฮาร์ดดิสก์ที่เป็นไฟล์ซิสเต็มแบบ FAT ได้นั่นเอง และนั่นก็ทำให้มันไม่

สามารถที่บูตด้วยแผ่นดิสก์แบบปกติได้ (เพราะว่าการบูตด้วยแผ่นดิสก์จะมองฮาร์ดดิสก์ที่เป็น FAT เห็นเท่านั้น แต่ปัญหาเรื่องของฮาร์ดดิสก์แบบ NTFS มองฮาร์ดดิสก์แบบ FAT ไม่เห็นได้

หมดไปกับการปรากฏตัวของ Windows 2000 และ Windows XP ที่มีความสามารถในการสนับสนุนไฟล์ซิสเต็มทั้งแบบ FAT และ NTFS ทำให้ระบบปฏิบัติการ Windows

2000 และ Windows XP สามารถที่จะมองฮาร์ดดิสก์ทั้งแบบ NTFS และ FAT เห็นหมดเลย เฮ... นอกจากนี้ คุณอาจจะเลือกที่จะติดตั้ง Windows 2000 หรือ Windows

XP บนไฟล์ซิสเต็มแบบ FAT ไปก่อน แล้วค่อยเปลี่ยน (Convert) มาเป็น NTFS ทีหลังก็ได้ด้วยคำสั่ง convert /fs:ntfs ที่ Command Prompt ครับ เพียงแต่ขอ

ให้ระลึกไว้เสมอว่า เมื่อเปลี่ยนมาใช้ NTFS แล้วจะเปลี่ยนกลับไปใช้ FAT ไม่ได้แล้วนะครับ แล้วผมควรจะใช้ไฟล์ซิสเต็มแบบไหนดี?!?

ถ้าจะให้ฟันธงไปเลย ผมอยากบอกว่าไฟล์ซิสเต็มแบบ NTFS นั้นดีกว่าแบบ FAT มากพอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากคุณต้องการที่จะเก็บรักษาข้อมูลของคุณเอาไว้เป็นความลับ ดังนั้นหากเป็น

ไปได้แล้ว คุณควรจะเลือกใช้ไฟล์ซิสเต็มแบบ NTFS มากกว่าครับ อย่าไปหลงเชื่อใครว่าไฟล์ซิสเต็มแบบ NTFS นั้นไม่สามารถเล่นเกมได้ หรือเล่นได้แต่ก็ไม่ดีเท่า FAT นะครับ ไม่เกี่ยวกัน

เลยแม้แต่น้อยครับ มันอยู่ที่ฮาร์ดแวร์ และระบบปฏิบัติการที่คุณติดตั้งมากกว่า... กรณีเดียวที่คุณควรจะใช้งานไฟล์ซิสเต็มแบบ FAT ก็คือในกรณีที่คุณติดตั้งระบบปฏิบัติการมากกว่าสองระบบ

เช่น Windows 98 หรือ Windows ME ควบคู่กับ Windows 2000 (หวังว่าคงไม่มีใครจะโชว์พาวเวอร์ด้วยการติดตั้ง Windows 2000 ร่วมกับ Windows XP นะ

ครับ ผมว่ามันสิ้นเปลืองฮาร์ดดิสก์โดยเปล่าประโยชน์จริงๆ)

Web statistics

[Xdiv/DivX, HDTV]

เพื่อนๆหลายคนคงสงสัยว่าช่วงนี้เริ่มมีไฟล์หนังแปลกๆประเภท HDTV หรือ HD-DVD ซึ่งคมชัดกว่า DVD9 หลายคนก็คงจะรู้แล้วก็ผ่านไปนะครับ สำหรับคนที่ไม่รู้ เรามาทำความรู้จักมันกันดีกว่านะครับ
ไฟล์ HDTV คือ codec 1 ใน 3 ของมาตรฐานดีวีดีในยุคต่อไป เช่น HD-DVD หรือ Blue-Ray Disc (ดีวีดีปัจจุบันใช้ MPEG-2 codec)หรือ Gadget รุ่นใหม่ๆอย่างเช่น PSP และ iPod Video ต่างก็สนับสนุน H.264 เป็น codec มาตรฐานด้วยเช่นกัน
การเล่น Hi-Def หรือ ไฟล์วีดีโอคุณภาพสูงบนเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นใช้สเปคเครื่องที่ค่อนข้างสูง สเป็คโดยอย่างต่ำที่ควรจะเป็นก็คือ CPU 2.0 GHz ขึ้นไป Ram 1 GB หรือมากกว่า Display Card ที่แสดงสีได้ 16.7 ล้านสี
ซื่งสเป็คดังกล่าวก็ไม่ใช่จะเล่นได้ดีนะครับ อยู่ในระดับที่พอเล่นได้เท่านั้นแถมมีการกระตุกอีกต่างหาก เมื่อเจอไฟล์ Hi-def ที่มีบิทเรทสูงๆ
แล้วเราๆท่านๆทั้งหลายจะทำไงให้ดูไอ้ไฟล์ HDTV นี่ได้ล่ะ ก็มีอยู่ 2 ทางคือ ซื้อเครื่องเล่น DVD ที่สามารถเล่นแผ่น HDTV ได้ซึ่งผมก็ยังไม่ค่อยมีข้อมูลเท่าไร่ แต่ราคาคงจะสูงพอควร และอีกทางคือใช้เจ้าเครื่อง PC เครื่องเล่นต้องอ่านไฟล์ HDTV ได้ด้วยครับ ถึงจะเล่นได้
พวก XviD HD WMVHD เห็นมีขายแล้วที่พันทิพย์
ส่วน x264 นี่ยังไม่เห็นมีขายเลยนะครับ ต้องไปซื้อเครื่องเล่นแบบ ส่งสัญญาณผ่าน wireless lan ที่ ฟอร์จูน น่ะท่าน 15000 แก่ๆ ครับ

สำหรับผู้ที่คิดจะเริ่มต้นสำหรับกับ HDTV นะครับ ถ้าเป็นการซื้อเครื่องใหม่
CPU ในตอนนี้ไม่ควรจะต่ำกว่า 3 GHz จะเป็น AMD หรือ Intel แล้วแต่ชอบครับ
Mainboard ที่ใช้ PCI-E เป็น Display card ซึ่งในช่วง 2-3 ปีนี้ ผมคิดว่า PCI-E ยังคงอยู่แน่นอน AGP ก็ยังใช้ได้ เพียงแต่อนาคตของ Display Card จะออกเป็น PCI-E เกือบทั้งหมดครับ
RAM ไม่ควรต่ำกว่า 1 GB ตอนนี้แรมไม่แพงมากครับ
HDD 7,200 รอบ ขนาดไม่ต่ำกว่า 120 GB
PSU ถ้าเป็นตระกูล GF 7800 GTX , x1800 XT , x1900 XT/XTX ตัวเดียว ควรจะใช้ power ประมาณ 450 watt ขึ้นไป
หรือว่าต่อสองตัวแบบ SLI หรือ CrossFire ก็ควรจะเป็น 550 watt ขึ้นไปครับ ( Recommend "Enermax")

ถ้ามีเครื่องเก่าอยู่แล้ว
เพิ่มแรมของเดิมให้เป็น 1 GB หรือมากกว่า
Display Card ของเดิมที่มีอยู่ถ้าเป็น nVidia ต้องเป็นตระกูล 6600 ขึ้นไป ถ้าเป็น ATI ก็ต้อง x1000 ขึ้นไป ถึงจะรองรับ H.264 Hardware decode ครับ
HDD ควรซื้ออีก 1 ตัว เพื่อเก็บไฟล์ Hi-def เนื่องจาก ไฟล์ HDTV ใช้พื้นที่ค่อนข้างเยอะ 500 กว่า MB เปิดได้ 3 นาทีเอง

สรุปก็คือ นอกจาก Hardware จะถึงแล้ว Software ก็ต้องสนับสนุนด้วย โดยแบ่งเป็นเป็นสองค่าย
nVidia กับ PureVideo โดยการเล่นผ่าน Media Player 10 ,การ์ด Geforce 6600 ขึ้นไป
ATI กับ AVIVO โดยการเล่นผ่าน Media Player 10 เช่นกัน ,การ์ด Radeon x1000 ขึ้นไป

ในปีนี้กระแส Hi-def คงจะเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะ HD-DVD ที่ Microsoft ก็สนับสนุนเต็มตัว รวมไปถึง MS Vista
OS ตัวใหม่ของ MS ก็จะสนับสนุน HD-DVD ด้วยครับ
และอีกปัจจัยก็คือ จอภาพหรือมอนิเตอร์ครับ ซึ่งปัจจุบันทีวีจอใหญ่ๆแบบ HDTV ราคาก็เบาลงมาเยอะแล้ว หรือจะเป็นจอ LCD มอนิเตอร์ในปัจจุบัน ต่างก็ออกมารองรับ HDTV กันหมดทุกยี่ห้อแล้ว

ด้วยการต่อเข้ากับทีวีทำให้ออกทีวี ถ้า Display card อันนั้นมีคุณสมบัติ VIVO ( Video in,Video Out ) หรือมีแค่ Viedo Out อย่างเดียวก็ใช้ได้

สำหรับสัญญาณที่ออกได้นะครับ ก็จะมี Composite VDO , S-Video และ Component Video แต่ Component นี่อาจจะต้องเป็นการ์ดจอรุ่นสูงหน่อยถึงจะออกได้

แล้วก็จะมีอีกสองรูปแบบนึงก็คือ DVI -> Component Video แต่ต้องหาซื้อหัวแปลงเอาเอง ของ ATI ก็มีขาย
DVI -> HDMI สำหรับ TV ที่เป็น HDTV Ready

การเล่น HDTV มันเป็นเรื่องที่ไม่ไกลเกินตัว เพียงแค่เราเปลี่ยน Display card รุ่นใหม่ๆ ที่ support H.264 hardware decode , เครื่อง PC ที่พวกเราใช้ๆกันอยู่ ก็จะกลายสภาพเป็นเครื่องที่รอการเล่น HD-DVD หรือ Blue-ray disc ที่จะออกมาเร็วๆนี้ (เหลือเพียงแค่รอไดรฟ์เหล่านี้บน PC ออกมาขาย)

ซึ่งถ้าเครื่องเล่น HD-DVD หรือ Blue-ray disc ออกมาในตอนแรกๆ จะต้องมีราคาสูงแน่นอน ผมประมาณว่าไม่น่ำจะต่ำกว่า 2-3 หมื่นบาท

อันนี้ลองวัดเปรียบเทียบกับราคาเครื่องเล่น DVD ที่ออกมาตอนแรกๆก็ราคาประมาณนี้

แต่การเล่น HDTV บน PC มีข้อได้เปรียบที่เหนือกว่าเครื่องเล่นธรรมดาก็คือ สามารถอัพเกรดเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์ได้ตลอด เช่น ในตอนแรกไดรฟ์ HD-DVD อาจจะความเร็ว 2x พอไปอีกสักปีออก 8x มาเราก็เปลี่ยนให้ทันสมัยได้

อีกอย่างถึงตอนที่ไม่ได้ดูหนังก็อาจเอามาใช้ทำงาน เล่นเกม เพราะโดยส่วนมากพวกเราก็มันจะใช้คอมในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว
ซึ่ง Dispaly card ในตอนนี้ก็จะมี 2 port เกือบทุกรุ่น เราก็จะต่อกับจอทีวีไว้ port นึง อีก port ก็ต่อกับจอคอมปกติ พอจะดูหนังก็ค่อยสั่งปล่อยสัญญาณภาพออกจอทีวี ส่วนจอคอมยังทำงานเล่นเนทต่อได้ หรือจะปล่อยออกทั้ง 2 จอพร้อมกันก็ได้ ตอนนี้ก็มีเมนบอร์ดอยู่ยี่ห้อน่าสนใจมากแต่ยังไม่ได้ลอง เห็นว่ามีช่องต่อออก HDTV ได้เลย คือ
Asrock775Twins-HDTV (มี ATIx300 VGA on board) ราคา 2,540 บาท

HDTV ย่อมาจากคำว่า High Definiton Television แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า "โทรทัศน์ความคมชัดสูง หรือ โทรทัศน์รายละเอียดสูง" ซึ่ง HDTV เป็นรูปแบบของระบบ Digital ที่ดีกว่าโทรทัศน์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นระบบ Analog ( HDTV มีความคมชัดมากถึงระดับ 1,050 เส้น ขณะที่โทรทัศน์ธรรมดามีเพียงแค่ 550 เส้น)

ดังนั้น HDTV จึงเป็นโทรทัศน์มีคุณภาพทั้งภาพและเสียงสูงกว่าโทรทัศน์ทั่วไป มีระดับความคมชัดสูงสุด ระบบเสียงเป็นแบบรอบทิศทาง
เหมือนกับการรับชมภาพจากจอภาพยนตร์ ที่ผู้ชมจะได้รับชมภาพที่สมจริงมากยิ่งขึ้น

HDTV [High Definition television] เป็นพัฒนาการอีกขั้นหนึ่งของโทรทัศน์ระบบดิจิตอล DTV [Digital Television] สัญญาณที่ส่งมาจะเป็นสัญญาณดิจิตอล โดยระบบการส่งสัญญาณระบบดาวเทียม ( SATELLITE )

หลักทำงานของ HDTV แยกเป็น 2 ส่วน คือ กระบวนการเกิดภาพ และกระบวนการเกิดเสียง

กระบวนการเกิดภาพ

สัญญาณดิจิตอลที่ถูกส่งเข้าเครื่องรับโทรทัศน์จะผ่านกระบวนการบีบอัดข้อมูลสัญญาณดิจิตอล โดยใช้ MPEG-2 ซึ่งเป็น Compression software ถอดรหัสเป็น CARD แสดงผลสัญญาณภาพ และจะถูกส่งไปยังหลอดภาพที่ ทำหน้าที่ยิงลำแสงออกมาด้วยความถี่ที่เพิ่มมากขึ้นมายังจอโทรทัศน์ที่มีความกว้าง( อัตราส่วนของจอภาพ 16:9 ) ขึ้นจึงทำให้เกิดจุดภาพ [ PIXEL] บนจอโทรทัศน์มากขึ้น ภาพที่ได้จึงมีความละเอียด คมชัดต่อเนื่อง ไร้อาการกระพริบของสัญญาณภาพ โดยลักษณะการยิงลำแสง (หรือเรียกว่า การเขียนภาพบนจอโทรทัศน์) มี 2 รูปแบบคือ

# 1080i - 1920x1080 pixels interlaced
# 720p - 1280x720 pixels progressive

- Interlaced การยิงลำแสงไปยังจอภาพ โดยการ scan ลำแสงให้เป็นเส้น เริ่มจากด้านบน จากซ้ายมาขวา ลักษณะเป็นเส้นเว้นเส้น มาจนสุดจอด้านล่าง [ เรียกว่า 1 field ] ดังนั้นการที่จะเกิดภาพบนจอนั้นจะต้อง scan อีกครั้งหนึ่งให้เส้นภาพครบ เป็น 1 กรอบภาพ [ 2 fields = 1 frame ] การ scan รูปแบบนี้มีจำนวนเส้นถึง 1080 เส้นใน 1 จอภาพ
- Progressive คือ การยิงลำแสงไปยังจอภาพ โดยการ scan ลำแสงให้เป็นเส้น จากด้านบนจอ จากซ้ายไปขวา จนสุดด้านล่างของจอ เพียงรอบเดียว ก็เกิดภาพบนจอโทรทัศน์ [ 1 field = 1 frame] การ scan รูปแบบนี้มีจำนวนเส้น 720 เส้นใน 1 จอภาพ สีที่เราเห็นบนจอภาพนั้น เกิดจากที่จอภาพ มีสารเรืองแสง ( PHOSPHOR SCREEN ) ฉาบอยู่ มี 3 สี คือ สีน้ำเงิน,สีเขียว และสีแดง ดังนั้นเมื่อลำแสงมาตกกระทบยังจุดที่ฉาบไว้ด้วยสารเรืองแสง ก็จะเกิดภาพเป็นสีต่างๆ ขึ้น

กระบวนการเกิดเสียง HDTV ใช้ระบบ DOLBY DIGITAL(AC-3) channel 5.1 ซึ่งเป็นระบบเสียงแบบรอบทิศทาง ที่ใช้กันอยู่ในโรงภาพยนตร์ชั้นนำทั่วไป

ข้อมูลเพิ่มเติม
http://www.htg2.net
http://www.htg2.net/index.php?PHPSESSID=61...8bce&topic=26.0

ขอบคุณความรู้ดีๆ จาก คุณ DarkVaDer แห่งไทยดีวีดี ด้วยครับ
หากข้อมูลถูกผิดประการใด ขออภัยมานะที่นี้ด้วยนะครับ แล้วช่วยชี้แจงเพิ่มเติมให้ถูกต้องด้วยครับ

oKKKo

Web statistics

วิธีดูแลสุขภาพของ Harddisk ให้ใช้ได้นานๆ

<< วิธีดูแลสุขภาพของ Harddisk ให้ใช้ได้นานๆ >>

ฮาร์ดดิสก์เป็นอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลที่ราคาถูกที่สุด เมื่อคิดราคาต่อเมกะไบต์ที่จัดเก็บได้ ผมจะมานำเสนอวิธีการที่ได้จากประสบการณ์ในการดูแลรักษาให้มันอยู่กับเราไปนานๆครับ

1. ใช้ power supply + case ที่มีคุณภาพดี...
harddisk เวลาทำงานก็ต้องใช้ไฟฟ้ามาเลี้ยงให้มันหมุนๆๆ ได้ตลอดเวลา จะ 4800 รอบต่อนาที หรือ วิ่งได้ไวสุดๆ 20,000 รอบต่อนาที (RPM) ดังนั้นไฟที่มาเลี้ยงมันก็ต้องมีกระแสที่คงที่ ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป โดยปรกติแล้ว harddisk จะต้องการแรงดันไฟเลี้ยง เพียง 5 โวลท์ สำหรับ harddisk ขนาด 2.5" และ 12 โวลท์ กับ 5 โวลท์ สำหรับขนาด 3" โดยส่วนใหญ่จะใช้กระแสประมาณ 700 - 1400 mA ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของฮาร์ดดิสก์ แต่อย่างไรก็ตาม ขอให้ภาคจ่ายไฟ (power supply) ของเราสามารถจ่ายกระแสได้อย่างคงที่ก็พอแล้ว โดยต้องไม่มีการจ่ายกระแสแบบขึ้นๆ ลงๆ ตามตลาดหุ้นเป็นอันขาดมิฉะนั้นมันก็จะหมุนแบบติดๆ ขัดๆ แล้วก็จะพังก่อนเวลาอันสมควร นอกจากนี้ การเลือกเคส (ตัวเครื่อง) ก็สำคัญเหมือนกัน ควรเลือกเคสที่สามารถถ่ายเทอากาศได้ดี เพราะจะสามารถลดความร้อนที่เกิดจากการทำงานของ haddisk ลงได้ ช่องใส่ haddisk ไม่ควรอยู่ติดกันเกินไป จนไม่มีช่องระบายอากาศ หากใส่ harddisk จำนวนหลายๆ ตัว และ ถ้าจะให้ดี ควรมีพัดลมระบายอากาศ ติดอยู่ใกล้ๆ harddisk ด้วย

2. ควรมีแหล่งจ่ายไฟสำรอง...
แม้ว่าเราจะมีภาคจ่ายไฟที่ยอดเยี่ยมแล้ว เราก็ควรที่จะมีแหล่งจ่ายไฟสำรอง เพื่อให้เรามีเวลาที่จะสั่งปิดเครื่องได้อย่างถูกต้องและเรียบร้อยสมบูรณ์ เพื่อยืดระยะเวลาใช้งานของฮาร์ดดิสก์ เวลาที่ไฟดับ เพราะกระแสไฟฟ้าเมืองไทย เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน แม้จะอยู่กลางกรุงก็ตาม วันดีคืนดี มีไอ้บ้าขี้เมาที่ไหนก็ไม่รู้ขับรถชนเสาไฟฟ้าตาย หากเราไม่มีแหล่งจ่ายไฟสำรอง ไฟดับปั๊บ...ฮาร์ดดิสก์หยุดหมุนทันที ทั้งๆ ที่มันกำลังวิ่งอยู่ที่ 7200 รอบต่อนาที หัวอ่านก็ยังไม่ทันเก็บ...บางทีก็อาจจะพังไปเลยครับ แล้วข้อมูลที่ในฮาร์ดดิสก์ก็คงหาซื้อที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว หากเรามีแหล่งจ่ายไฟสำรองเราก็จะมีเวลาเซฟหัวใจ ช่วยชีวิตฮาร์ดดิสก์ตัวน้อยๆ ไว้ได้ครับ อ้อ...ทางที่ดีควรเลือกเครื่องจ่ายไฟสำรอง (UPS) ยี่ห้อที่สามารถ ป้องกัน ไฟตก ไฟเกิน ไฟกระชาก ได้ด้วยนะครับ มันจะช่วยป้องกันเครื่องคอมพ์ราคาหลายหมื่นของเราให้อยู่รอดปลอดภัยได้ ไม่ว่าในสถานการณ์ใด

3. หมั่น scandisk บ้าง
การ scandisk จะช่วยให้เราสามารถค้นหาจุดบกพร่องของ harddisk ว่ามีอะไรเสียหายหรือไม่ หากเจออะไรผิดปกติมันก็จะแจ้งเราทราบก่อน ซึ่งควรทำทุกๆ เช้า

4. ใช้ SMART
เทคโนโลยี SMART (Self Monitoring Analysis and Reporting Technology) เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ตรวจสอบสุขภาพของฮาร์ดดิสก์อยู่ตลอดเวลาที่เปิดใช้งาน การใช้งานโปรแกรมที่ใช้ตรวจสอบสถานะของ SMART จะทำให้เราทราบอยู่ตลอดเวลาว่า harddisk ของเรายังอยู่ดีมีสุขอยู่หรือไม่

5. ควร defrag กันบ้าง
การ defrag คือ การที่ทำให้ชิ้นส่วนของไฟล์ที่กระจัดกระจายให้มาอยู่รวมกัน ซึ่งจะมีผลทำให้เราเข้าถึงไฟล์ได้รวดเร็วขึ้น ซึ่งโดยปกติแล้วเวลาที่เราเขียนไฟล์ลงในฮาร์ดดิสก์ที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ มันจะไปเขียนลงพื้นที่ว่างอยู่ แล้วถ้าเกิด ตรงพื้นที่ว่างอยู่นั้นมันเล็กเกินไปที่จะใส่ไฟล์ทั้งไฟล์ลงไปได้ มันก็จะไปหาพื้นที่อื่นๆ ที่ว่างอยู่เพื่อใส่ไฟล์ให้ลงไปได้ทั้งหมด ซึ่งก็จะทำให้เกิดการกระจัดกระจายของชิ้นส่วนไฟล์เหล่านั้น วิธีการเดียวที่จะรวมชิ้นส่วนเหล่านั้นให้กลับมารวมอยู่ที่เดียวกัน ก็คือการ defrag ซึ่งควรทำอย่างน้อย สัปดาห์ละ 1 ครั้ง

6. หัดลบไฟล์ขยะที่ไม่ได้ใช้
เวลาที่เราใช้เครื่องไปนานๆ มันก็จะมีไฟล์ข้อมูลเก่าๆ หรือโปรแกรมเก่าๆ ไฟล์ชั่วคราวที่หลงเหลือมาจากบางโปรแกรมสร้างไว้แล้วไม่ยอมลบทิ้ง นอกจากนี้ยังมีไฟล์ที่ถูกทอดทิ้งจากอินเทอร์เน็ต เช่น พวกคุกกี้ ต่างๆ เป็นต้น ไฟล์เหล่านี้ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะเก็บเอาไว้ ขอให้คุณกำจัดมันทิ้งเสีย นอกจากคุณจะได้พื้นที่ harddisk กลับคืนมาแล้ว คุณจะยังได้ประสิทธิภาพของเครื่องที่เพิ่มขึ้นกลับมาด้วย วิธีการก้คือให้คุณใช้โปรแกรมที่ชื่อ Disk cleanup ที่อยู่ใน system tools ใน sub ของ Accessories อีกที ทีนี้ คุณจะกวาดล้างอะไรก็ทำได้เลย

7. สแกนหาไวรัสพร้อมกับกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่ไม่ได้รับเชิญ
ปัจจุบันไวรัสหรือหนอนที่มาจากอินเทอร์เน็ตล้วนมีวิธีการต่างๆ เข้ามาหาเครื่องของเรา โดยอาศัยช่องโหว่ของระบบ ซึ่งเราก็ไม่มีทางรู้ว่า ทาง MS ได้เปิดช่องโหว่อะไรไว้บ้าง ดังนั้นมันจะเป็นการดีที่คุณจะต้องติดตั้งโปรแกรมสแกนไวรัสชนิด Realtime ไว้ ซึ่งจะช่วยป้องกันไวรัสได้ในระดับหนึ่ง นอกจากนี้คุณอาจจะได้พบกับสิ่งแปลกปลอมที่มีจากอินเทอร์เน็ต แต่คุณไม่ได้ต้องการมัน เช่น พวกป๊อบอัพโฆษณาขายยาไวอากร้า หรือ พวกสปายแวร์ หรือ พวกที่คอยตรวจจับการพิมพ์ข้อมูลของคุณ ซึ่งพวกนี้ก็จะอาศัยช่องโหว่ของระบบเช่นกัน เพียงแต่มันไม่ใช่ไวรัส และแน่นอนเราไม่ได้ต้องการหรืออยากให้มันมาอยู่ใน haddisk ของเรา ดังนั้นจึงควรกำจัดมันซะ ด้วยโปรแกรมกำจัด spyware เช่น adaware เป็นต้น ซึ่งไม่ว่าคุณจะใช้โปรแกรมสแกนไวรัสหรือสปายแวร์ คุณก็ต้องอัพเดทมันทุกวัน ถ้าเป็นไปได้ ก็จะช่วยป้องกันไม่ให้เครื่องของคุณต้องมาติดกับสิ่งแปลกปลอมโดยไม่จำเป็น

8. เก็บทุกอย่างให้เป็นหมวดหมู่
การเก็บไฟล์ข้อมูลให้เป็นหมวดหมู่ เช่น ไฟล์ word excel ก็อาจจะเก็บไว้ใน My documents ไฟล์ jpeg bmp ก็เก็บไว้ใน my picture เป็นต้น จะช่วยให้คุณสามารถค้นหาข้อมูลได้เร็วขึ้นและไม่เสียเวลามาก เวลาที่คุณต้องดึงกลับมาใช้งานอีกครั้ง

9. อย่าลืม...เทขยะทิ้ง เมื่อคุณไม่ต้องการมันแล้ว
เวลาที่คุณลบไฟล์ โดยวิธีการลบแบบปกติ แน่นอนว่าทุกครั้งมันจะต้องไปอยู่ใน recycle bin หรือ trash หากคุณแน่ใจว่าคุณไม่ต้องการไฟล์พวกนั้นอีกแล้ว ขอแนะนำให้คุณ empty recycle bin เสีย เพราะนอกจากคุณจะได้พื้นที่กลับคืนมาแล้ว....คุณยังปลอดภัยจากการถูกขุดคุ้ยข้อมูล โดยคนอื่นๆ อีกด้วย

10. Backup สิ่งสำคัญที่คุณขาดไม่ได้
ฮาร์ดดิสก์เป็นอุปกรณ์ที่มีการเคลื่อนไหว คือหมุนอยู่ตลอดเวลาที่เปิดใช้งาน แน่นอนว่ามันไม่ได้อยู่กับเราไปได้ทั้งชีวิต ไม่วันใดวันหนึ่งมันก็ต้องเสียชีวิตลงไป ซึ่งเราก็ไม่อาจจะรู้ได้ว่าวันไหนที่มันจะพัง ดังนั้นคุณจึงควรสำรองข้อมูลอยู่เสมอๆ โดยอาจจะสำรองไปยังฮาร์ดดิสก์ตัวอื่น หรือ อุปกรณ์ที่พกพาได้ เช่น Thumb drive หรือ flash drive หรือจะ backup ลง CD หรือ DVD ก็ได้ อย่างน้อยๆ คุณก็ได้ข้อมูลที่คุณจะหาซื้อที่ไหนไม่ได้กลับคืนมาเวลาที่มันพัง แนะนำว่าควรทำสำรองข้อมูลให้ได้ทุกๆ วัน ก่อนนอนก็จะดีครับ

ที่มา : http://www.justusers.net/knowledges/hddhealth.htm

แอนหวังว่าการดูแลรักษา Harddisk ที่นำมานี้จะช่วยให้เพื่อนๆ ในการรักษา Harddisk ให้ใช้งานได้ดีและสมบูรณ์นะครับ

Web statistics

IP Address คือ อะไร ใช้สำหรับทำอะไร?

IP Address คือ อะไร ใช้สำหรับทำอะไร?

IP Address เปรียบเสมือน หมายเลขโทรศัพท์ ประจำบ้าน ของเครื่อง Computer ที่อยู่ใน Network แบบ TCP/IP (ซึ่งใช้กันแพร่หลายมากที่สุดในขณะนี้ รวมถึง Internet ด้วย) IP Address สำหรับเครื่องแต่ละเครื่องจะต้องไม่มีการซ้ำกัน ไม่เช่นนั้นการส่งข้อความอาจจะเกิดความผิดพลาดได้ เพราะข้อมูลที่รับส่งใน Network นั้นเปรียบเสมือน การพูดคุยทางโทรศัพท์ ระหว่าง เบอร์สองเบอร์ เครื่อง Computer ทุกๆเครื่องใน Network แบบ TCP/IP นั้นจะต้องมี IP Address ประจำตัวเสมอ ไม่มีไม่ได้ IPAddress ของแต่ละเครื่องเราสามารถ Set ได้เอง IP Address จะมีรูปแบบ (ขออธิบายย่อๆ) ดังนี้
#.#.#.# ( เป็นตัวเลข 4 ชุดและใช้จุด เป็นตัวคั่น) โดยที่ ตัวเลขแต่ละชุด (#) จะมีค่าได้ตั้งแต่ 0-254 นอกจากนี้ สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ ตัวเลข 3 ชุดแรก จะเป็นตัวแบ่งกลุ่มของ Network ด้วย (ขอไม่อธิบายเพราะยังมีรายละเอียดอีกมาก) ดังนั้น ในวง Network ของคุณนั้น IP Address ของทุกๆเครื่องจะต้องมี เลข 3 ชุดแรกเหมือนกัน เครื่องจึงจะสามารถติดต่อกันได้ เช่นคุณมีเครื่อง 3 เครื่อง และSet เป็น 192.168.0.10, 192.168.0.11 และ 192.168.0.12 ทุกเครื่องก็จะสามารถมองเห็นกันได้
DHCP (Dynamic Host Configuration Protocol)

DHCP คือ ระบบการแจกจ่าย IPAddress ให้เครื่องที่อยู่ในระบบ เมื่อเครื่องเหล่านั้น ถูก Set ไว้ว่าจะต้องไปเอา IPAddress มาจาก DHCP Server โดยปกติ IP Sharer Box หรือ Proxy Software บางตัว จะมี ระบบ DHCP อยู่ในตัวด้วย
DHCP เกี่ยวกับการติดตั้งค่าต่างๆ ทางเครือข่าย เช่น ค่า IP address,DNS,Gateway,Netmask โดยการใช้งานจะมีสองส่วนคือ DHCP Server และ DHCP Client โดยตัว server จะเป็นตัวกำหนดค่าต่างๆ ของ network ให้กับ client ซึ่งตัว server จะต้องทำงานอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้บริการกับ client ตัวใดๆ ได้ตลอดเวลา พูดง่ายๆ คือ เปิดเป็นเครื่องแรก ปิดเป็นเครื่องสุดท้าย ถ้าปิดก่อนแล้ว เครื่อง client จะปิดไม่ได้ เหตุผลที่นิยมใช้ DHCP ก็เพราะในระบบ network ที่มีเครื่อง client จำนวนมาก จะพบกับความยุ่งยากเรื่องกำหนดค่า network ให้ถูกต้อง และระวังไม่ให้ IP address แต่ละเครื่องมาซ้ำกัน ซึ่ง DHCP server สามารถแจกจ่ายค่าต่างๆ เหล่านี้ให้กับ client ได้โดยอัตโนมัติ สร้างความสะดวก ลดความยุ่งยากและความเสี่ยงต่อการผิดพลาดอีกด้วย นอกจากนี้แล้ว การใช้งานอินเตอร์เน็ท ใน network ก็ควรจะใช้ tranperent proxy ด้วย ซึ่งจะช่วยลดปริมาณการใช้ bandwith ไปภายนอก และเพิ่มความเร็วในการเรียกเวบอีกด้วย โดย transperent proxy ก็คือการที่ทำให้ browser แต่ละตัว เมื่อเรียกใช้เวบแล้วจะเรียกใช้งาน proxy โดยอัตโนมัติ โดยที่ไม่ต้องตั้งค่าใช้ proxy ที่ตัว browser เลย ประโยชน์ของมันนอกจากจะเป็น cache แล้ว ยัง redirect ได้อีกด้วย เช่น กำหนดให้ เครื่องในวง lan ไม่สามารถเรียกเวบโป๊ หรือเข้าเวบ pantip ไม่ได้ แล้วแต่เรากำหนด แต่จะถูก redirect ไปยังที่อื่น นอกจากนี้ ยังตรวจสอบการใช้งานของ client แต่ละเครื่องได้ด้วยว่า เรียกใช้งานเวบไหนบ้าง ปริมาณการใช้งานมากน้อยขนาดไหน เหมาะกับใช้ในสำนักงานหรือโรงเรียน

DHCP มีข้อดีเสียอย่างไร?

ข้อดีคือ คุณไม่ต้องพวงว่าเครื่องใหม่ที่คุณเพิ่มเข้าไปในระบบนั้น IP Address จะต้องเป็นอะไรถึงจะติดต่อหรือไม่ซ้ำกันกับเครื่องอื่นได้ รวมไปถึงการตั้งค่า Gateway, DNS Server ด้วย ซึ่งเหมาะสำหรับระบบที่มีการเพิ่มเครื่อง หรือ ลดเครื่อง บ่อยๆ ซึ่งจะง่ายต่อการจดจำ ข้อเสียคือ เครื่องทุกเครื่องจะต้องเสียเวลาในขั้นตอนการ Boot เข้า Windows สักช่วงเวลาหนึ่ง และหากช่วงเวลานั้นเครื่องติดต่อ DHCP Server ไม่ได้ (Time-Out) ก็อาจจะทำให้ Connect กับเครื่องอื่นๆไม่ได้เช่นกัน และหากว่า DHCP Server นั้น ไม่ฉลาดเพียงพอ IP Address ที่ Gen ให้ อาจจะซ้ำกันได้ในบางครั้งทำให้ต้องมีการ Boot เครื่องใหม่อีกครั้งจนกว่าจะไม่ซ้ำกับเครื่องอื่นๆในระบบ รวมไปถึงบางครั้งIP Address อาจถูกเปลี่ยนไปในขณะใช้งานด้วย
การ Fix IP Address นั้นทำไปทำมัย?

เครื่องจะ Boot ได้เร็วขึ้น เครื่องไม่ต้องไปคำนึงถึง IP Sharer ว่า เปิดอยู่หรือไม่ หรือผิดปกติหรือไม่ IP Address จะไม่มีทางเปลี่ยนไปเอง ตรวจสอบได้ง่าย เพราะ IP Address ไม่เปลี่ยน ส่งผลให้การเข้า Web บาง Web เพื่อทำงานบางอย่างไม่ขาดตอนเช่น การ Check Mail หรือการทำ Transaction ที่สำคัญบางอย่าง
เราจะรู้ได้อย่างไรว่า IP Address ของเครื่องนั้นคืออะไร

สำหรับ Windows 95/98/Me ให้ run คำสั่งที่ปุ่ม / และพิมพิ์ winipcfg.exe แล้วดูที่ IP Address
สำหรับ Windows NT/2000 ให้ Click ขวาที่ icon ชื่อ หรือ ที่ DeskTop เลือก แล้วเลือก properties ของ TCP/IP
จะ Fix IPAddress ได้อย่างไร?

1. ตรวจสอบว่า IP Address ของ IP Sharer ที่คุณใช้อยู่เป็นอะไร? (โดยทั่วๆไปคือ 192.168.0.1)
2. เลือกช่วง IP Address ให้เครื่องในลูกข่ายของคุณ โดย เลข 3 ชุดแรกต้องตรงกับ IP Sharer ด้วย เช่น (มี 10 เครื่อง 192.168.0.1 ถึง 192.168.0.10)
3. เข้าไปที่ //<ชื่อ Network Card ของคุณ> /Properties เพื่อทำการ Set ค่าดังต่อไปนี้
โดยขอแนะนำให้คุณจดค่าเดิมไว้ก่อนที่จะทำการ Set ค่า
3.1 IP Address = ตัวเลขประจำเครื่องที่คุณเลือกไว้ตามข้อ 2.
3.2 Gateway = IP Address ของ IP Sharer จากข้อ 1
3.3 DNS Server = IP Address ของ IP Sharer จากข้อ 1
4. เสร็จ
IP Sharing และ Proxy Software

มีวัตถุประสงค์หลักๆจะเหมือนกันคือเป็น IP Address Sharer เพื่อ share กันใช้ Internet Account (1 IP Address) เดียวกัน
ข้อดี-เสียแตกต่างกันพอสรุปได้ดังนี้
IPSharer : ข้อดี - เป็น Hardware อาจมี Modem ในตัว
ไม่ต้องมี่เครื่อง PC เป็น Server
- ง่ายในการ Config และเริ่มใช้งาน
- บางรุ่นสามารถทำ Load Balance ถ้ามี Modem หลายตัว
ข้อเสีย - ไม่มี Cache ทำให้มีการ load ข้อมูล ซ้ำ
(ถ้ามีก็น้อยมากหรือก็ต้องพึ่ง Software จึงทำให้ต้องมี PC เป็น Server อยู่ดี)
- Software บางรุ่นไม่สามารถ update ได้ทำให้ เกิดปัญหาแบบถาวร
Proxy Software : ข้อดี - update ได้
- ราคาค่อนข้างจะถูกกว่าแน่นอนถ้าเทียบจำนวน Users เท่าๆกัน
- มี Cache ขนาดไม่จำกัด ตามขนาดใน H/D
- Perfomance จะขึ้นกับเครื่อง Server ที่ Run อยู่ ดังนั้นการ upgrade ก็อาจทำแค่เพียงเปลี่ยนเครื่อง
ข้อเสีย - ต้องมี 1 PC เป็น Server
- ต้องมี Modem ต่างหาก
- ยังไม่พบ proxy software ตัวใดที่ทำ Load Balance
ได้ในกรณีที่มีการต่อ Dual Modem
- Config ค่อนข้างยากกว่า
ในตามหลักทางทฤษฎี แล้ว จำนวน Modem ที่สัมพันธ์กับจำนวน Client น่าจะเป็นจุดสำคัญกว่า โดย ปกติ 1 Conection (1 modem) น่าจะ serve ได้ประมาณ 6-8 เครื่องพร้อมๆกัน ถ้าจำนวนเครื่อง มาก Connection มีน้อย Proxy Software น่าจะพอช่วยได้มากในบางกรณี เพราะมี Cache Memory, ถ้ามีเครื่องน้อยและไม่ต้องการเสียเครื่องทำ Server นั้น IPSharer ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า..
ipsharer ที่แนะนำ webblaster, webramp, 3Com
proxy software ที่แนะนำ
www.winproxy.net (Winproxy 1.4a)
www.winproxy.com (winproxy 2.xx คนละยี่ห้อจากข้างบน)
www.wingate.com
hub ที่เราแนะนำ ถ้าเป็นไปได้ให้ใช้เป็นชนิด switching hub ครับ
lancard ขอแนะนำว่าอย่าประหยัด ของถูก คุณภาพ ก็จะเป็นไปตามราคา
ข้อแนะนำสาย lan ง่ายๆ
- ไม่ควรยาวเกิน 18 meters และพยายามใช้ความยาวสายเท่าที่จำเป็นไม่ต้องเผื่อความยาว
- ไม่ควรจะขดเป็นวง หรือ หมุนวน มัดรวมกัน
- จัดระเบียบให้ดี เช่นต้องมีเลขกำกับ ที่หัวกับท้าย
Proxy

คือตัวแทนหรือ Agent นั่นเอง เช่นเวลาเค้าบอกให้คุณต่อ Internet ผ่าน Proxy ก็หมายถึง ให้เครื่องคุณต่อไปที่ เครื่องที่เป็น proxy ซึ่งเจ้า proxy นี่จะทำหน้าที่แทนคุณอีกทีนึง ในการต่อไปยัง Internet Proxy จะทำการ cache ข้อมูล (web pages/images) ไว้ที่ตัวมัน ทำให้การโหลดข้อมูลเร็วขึ้น เมื่อเราเรียก web page หน้าเดิมอีก เพราะเจ้า proxy จะส่งข้อมูลจาก cache ไปให้เครื่องลูกเลย โดยไม่ต้องต่อไปที่ web site อีก และตัวมันจะมีการ update cache ให้เองถ้า web pages มีการเปลี่ยนแปลง Proxy ยังมีอีกแบบคือ reverse proxy ซึ่งจะทำงานกลับกันกับที่กล่าวมาแล้ว คือเป็นการตั้ง proxy เพื่อรองรับ การเรียกข้อมูลขาเข้า เช่น web site เจ้า proxy แบบนี้ จะทำการ off-load Web server คือให้ web server ทำงานเบาขึ้นนั่นเอง เช่นเมื่อมีจำนวน hits มาที่ web site เรา proxy จะช่วยแบ่งเบาในการ return พวก web pages / images ไปยัง browsers เองเลย นอกจากนี้ ยังทำการ redirect ไปยัง servers ภายในได้ด้วย ทำให้ ป้องกัน การ hack ได้ระดับนึง
WEB Server

คือ server ที่มี service ในส่วนที่เป็น www service, ftp service etc. ครับ เพื่อเปิดให้ client อื่นๆ สามารถเข้ามาดูข้อมูลพวก http หรือ download files ได้ และอื่นๆ อีกครับ
Mail Server

็คือ server ที่มี mail database และมี service ของ mail นะสิครับ
DNS (Domain Name Server)

คือ service ที่จะช่วยในการเปลี่ยน address ที่เป็นชื่อ แบบ www.xxx.com เป็น ip address เพื่อติดต่อกับ server ได้ครับ เพราะปกติการติดต่อผ่าน network ในระบบ tcp/ip จะมองตามเลข ip address เท่านั้นครับ
Telnet

คือ โปรแกรมสื่อสารประเภทหนึ่ง สำหรับใช้งานใน Network โดยที่เราอยู่ที่ client ใช้ telnet เข้าไปหา server เพื่อใช้งานโปรแกรมที่อยู่บน server ถ้าคุณมี Unix server ก็สามารถใช้ telnet จาก windows เข้าไปเรียกโปรแกรมบน Unix ทำงานได้
WAN

เป็นการเชื่อมต่อเครือข่ายระยะไกลครับ อย่างเช่นคุณจะต่อ วงLan ที่สำนักงานในกรุงเทพ กับ วงLan ที่เชียงใหม่
Linux

คือ Operating System แบบ Open Source Code & free program
RAS (Remote Access Service)

ใช้เพื่อติดต่อกับ server ผ่านทาง modem หรือ tel. line ครับ ใน 98 ยังทำไม่ได้ครับ เพราะเป็น service ที่ใช้กับ server เท่านั้น แต่พวกที่เป็น workstation ยังไม่แน่ใจ
Intranet

คือ network ในระดับองค์กรครับ คือมีการติดต่อเฉพาะในส่วนที่เป็นองค์กรเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นระบบ LAN WAN หรืออื่นๆ ก็ตามครับ
SMTP

็เป็นโปรโตคอลสำหรับรับส่งเมล์ ส่วน POP3 เป็นโปรโตคอลของการเข้าไปอ่าน Mail box เวลา Implement ก็จะเป็นคนละฟังก์ชัน อาจอยู่บน Server เดียวกัน หรือคนละตัวก็ได้ อีกโปรโตคอลที่คล้ายๆกับ POP3 คือ IMAP4
การ backup ข้อมูล

เป็นสิ่งที่ควรทำอยู่เป็นระยะ เพื่อใช้ในการ recovery เวลาข้อมูลเสียหาย หรือดิสค์มีปัญหา วิธีการ bakcup ก็อาจจะ backup ลงเทป หรือลงดิสค์ที่เครื่องอื่น ก็แล้วแต่จะใช้งาน ความถี่ของการ backup ก็อาจจะเป็น daily, weekly, monthly อันนี้แล้วแต่ความสำคัญ และความถี่ของการเปลี่ยนแปลงข้อมูล ใน OS จะมี command สำหรับทำฟังก์ชันนี้อยู่ เช่นคำสั่ง copy, backup, dump ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับ platform ล่ะครับ ว่าใช้ OS อะไรอยู่ ลองไปดูใน OS นั้นๆดูละกัน ถ้าที่บริษัทไหนมี software ช่วย backup ด้วย ก็ต้องไปดูวิธีใช้ software นั้นๆครับ
ความแตกต่างระหว่างโปรโตคอล Netbeui กับ TCP/IP

เมื่อใช้ในวง LAN มีความแตกต่างกันในเรื่องความเร็ว
1. ถ้าใช้ Application ที่ไม่เกี่ยวข้องกับ Web ให้ใช้ NETBEUI เข่น Application บน Windows NT ที่ใช้งานเฉพาะ
2. ถ้าต้องการใช้ Technology ของ Web (คือการพัฒนาโปรแกรมให้สามารถปฏิบัติงานผ่าน Web ได้) ให้ใช้ TCP/IP
- ถ้าพูดถึงความเร็วแล้ว NetBEUI เร็วกว่า เพราะทำงานอยู่ใน Layer ที่ต่ำกว่า
- TCP/IP ใช้เพื่อเป็นการรับส่งข้อมูลผ่านทางเครือข่าย internet
- NETBEUL ใช้เพื่อเป็นการรับส่งข้อมูลผ่านทางเครือข่ายในวงเดียวกัน ใช้ในการ shar ต่าง ๆ

Internet Node

หน่วยงานที่มี Internet Node เป็นของตัวเอง สมมติว่าเป็น http://www.xxx.or.th/ ทีนี้ต้องการทำ Web Server อีกหนึ่งเครื่องเป็น http://yyy.xxx.or.th/ จะต้องเตรียมอะไรบ้าง อย่างไร
ผมใช้ Linux เป็น Server
มีหลายวิธีนะครับ ... ผมจะขอยกตัวอย่างครับ
1. ทำเครื่อง Web Server เดิมให้รองรับ Virtual Server โดยอาจจะใช้ Apache Web Server แล้วตั้งค่าใน httpd.conf ว่า www.xxx.or.th จะชี้ไปยัง directory ใด และ yyy.xxx.or.th จะให้ชี้ไปยัง directory ใด
2. ขอ IP Address เพิ่ม โดยอาจจะต้องไปขอกับหน่วยงานที่เกียวกับคอมพิวเตอร์ เพื่อให้เขาออก IP Address ชุดใหม่ให้ จากนั้นให้เขาตั้งชื่อใน DNS Server ด้วย ว่า IP Address นี้จะใช้ชื่อว่า yyy.xxx.or.th

Web statistics

การทำให้เชื่อมต่อ Peer ได้เยอะขึ้นด้วยการ Patch TCP/IP.sys

Download TCP/IP.sys Patch =>

จาก FAQ ของ utorrent.com




Network
Does µTorrent work well on Windows XP SP2 systems with an unpatched TCPIP.SYS?

Yes, as of version 1.2, µTorrent will do 8 connection attempts by default to work with the 10 connection attempt limit on these systems.

Patching tcpip.sys to a higher value may help if you are having problems (such as trackers timing out when they're actually online), though setting it higher than the default may cause some routers to have freezing problems. If you would still like to patch it, you can do so with LvlLord's EventID 4226 Patcher.

However, you should never set it higher than 50! net.max_halfopen should ALWAYS be set lower than the value you patched tcpip.sys to.


เราสามารถเพิ่มการเชื่อมต่อ Peer ให้มากขึ้นด้วยการ Patch TCP/IP.sys ซึ่งใน Windows XP SP2 ลิมิตอยู่ที่ 10 การเชื่อมต่อ เราจะเพิ่มเป็น 50 การเชื่อมต่อตามที่แนะนำข้างต้น :smile:

1.กดแยกไฟล์ zip ที่โหลดมาแล้วรันไฟล์ EvID4226Patch.exe มันจะแสดงสถานะการเชื่อมต่อของเรา ณ ปัจจุบัน



** ตามรูปผ่านการ Patch มาแล้ว

ดูแค่สองบรรทัดคือ บรรทัดที่ 6 จากล่าง
Current maximum concurrent half-open connections: <-- ตรงนี้ถ้ายังไม่เคย Patch จะเป็นค่าดั้งเดิมคือ 10
ดูอีกบรรทัดคือ บรรทัดก่อนสุดท้าย
Do you really want to change the limit to <-- ตรงนี้ค่าที่เหมาะสมไม่ควรเกิน 50 (ปกติจะเป็น 50 อยู่แล้ว)
2. พิมพ์ Y เมื่อต้องการเพิ่มลิมิตเป็น 50
N เมื่อไม่ต้องการเปลี่ยนแปลง
C เมื่อต้องการกำหนดค่าลิมิตเอง
U เมื่อต้องการลบการติดตั้ง
แล้วกด Enter รอเวลานับถอยหลังเพื่อ Patch แล้วรีสตาร์ท

3. เซ็ทค่า Max half-open TCP connections ใน BitComet ให้ตรงตามที่เราลิมิตไว้ด้วย !!



เท่านี้ก็น่าจะเชื่อมต่อได้ดีขึ้นนะครับ
อ้อถ้าใครยัง Connectable=No อยู่ก็อย่าลืมทำด้วยนะครับ

Web statistics

Wednesday, November 08, 2006

วิธีจับภาพหน้าจออย่างง่ายๆ

สำหรับวิธีการจับภาพหน้าจอวินโดวส์นั้น มีวิธีง่ายโดยไม่ต้องใช้โปรแกรมช่วย ก็คือการกดปุ่ม Print Screen ที่แป้นพิมพ์ของคุณ โดยจะแบ่งการจับภาพหน้าจอออกเป็นสองกรณีคือ

1. จับภาพทั้งจอ เหมือนกับรูปตามลิงค์ด้านล่างนี้ครับ วิธีการก็คือกดปุ่ม Print Screen ที่แป้นพิมพ์ของคุณ



2. จับภาพเฉพาะหน้าต่าง ที่ทำงานอยู่ เช่น คุณต้องการจับภาพ My Computer เหมือนรูปตามลิงค์ด้านล่างนี้ ก็ทำได้โดย กดปุ่ม Alt + Print Screen



3. ที่นี้เรามาลองจับภาพหน้าจอกันนะครับ ให้คุณลองกดปุ่ม Print Screen ภาพหน้าจอขณะนั้นจะถูกเก็บไว้ใน หน่วยความจำ การที่จะนำภาพมาใช้นั้น ก็ทำได้ง่าย ๆ โดยเปิดโปรแกรม Paint ขึ้นมา ดังรูปตามลิงค์ด้านล่างนี้



4. จากนั้นคุณก็เข้าไปที่เมนู Edit --> Paste (หรือกดปุ่ม Ctrl + V ที่แป้นพิมพ์ก็ได้นะครับ)
ภาพที่เราจับหน้าจอไว้ ก็จะปรากฏออกมาเหมือนภาพตามลิงค์ด้านล่างนี้ ในบางกรณีถ้าคุณตั้งพื้นที่การทำงานของโปรแกรม Paint ขนาดเล็กเกินไป จะมีกรอบขึ้นมาถามว่าต้องการจะวางรูปไว้ในตัวโปรแกรมหรือไม่ ให้คุณคลิกปุ่ม Yes ไป (ถ้าตอบ No ภาพที่ได้ จะถูกตัดให้พอดีกับพื้นที่ในโปรแกรม Paint ทำให้ภาพหายไปบางส่วนนะคับ



5.ภาพที่ได้นี้คุณจะทำการตกแต่งอย่างไรก็ได้ตามใจ จากนั้นก็คลิกที่เมนู File --> Save เพื่อบันทึกภาพต่อไป

***ภาพที่ใช้ในอินเตอร์เนต ส่วนใหญ่จะเป็นภาพนามสกุล .JPG หรือ .GIF ภาพคุณจะเซฟภาพไปใช้ในอินเตอร์เนต เช่น การนำไปใส่ในโฮมเพจ, โฟสในเวบบอร์ด ควรจะบันทึกภาพเป็นนามสกุลเบื้องต้นนะครับ และก็ควรจตรวจดูด้วย ว่าภาพของคุณมีขนาดใหญ่เกินไปหรือเปล่า ถ้าใหญ่เกินไป คนที่โหลดภาพจะเสียอารมณ์แล้วก็พาลที่จะด่าคุณด้วย

6.นอกจากนี้ถ้าคุณต้องการนำภาพไปประกอบในเอกสารเวิร์ด คุณก็สามารถทำได้ โดยวิธีคล้ายๆ กันนี้ โดยให้เข้าไปที่ เมนู Edit --> Paste (หรือ แก้ไข--> วาง สำหรับเมนูภาษาไทยนะครับ)

จบแล้วคับ

*** หวังว่าคงสนุกกับการจับภาพหน้าจอ ง่ายๆ ด้วยตัวคุณเองนะคับ ***

******* ใช้งานได้ใน windows ทุกเวอร์ชั่น(95,98,2000,me,xp,2003)*********
AoMNaRuK+
theo99

Web statistics

วิธีการ Set ความสำคัญให้กับ file ย่อยๆ

เคยสังเกตุ ไหม ครับเวลาเราโหลด หนังชุดเนี่ย บางทีเราต้องโหลด ทั้งดุ้นเลย เพื่อที่จะได้ดูวันนี้เรามาดูกันว่า ถ้าเรา อยากให้มันโหลดแบบ เป็น step โหลด แผ่น 1 เส็ดก่อน แล้ว แผ่น 2 ตาม จะทำไง เพื่อที่ จะได้ดู ไปเลย แบบว่าวัยรุ่นใจร้อน อยากดู เป็น แผ่นๆ ไป ขี้เกียจรอ ให้โหลดเส็ดทั้งหมด

มาดูกันครับ



ตามลำดับ
1. จากรูปนะครับ เรากด คลิ๊กที่ชื่อไฟล์หนังชุด ที่เราต้องการจะตั้ง ความสำคัญให้
2. กด ที่ไฟล์นะครับ มันจะโชว์ไฟล์ย่อยๆ ออกมา
3. กดเลือก ไฟล์ย่อยที่ต้องการให้โหลด เส็ดก่อน
4. กดคลิ๊กขวา ที่ไฟล์นั้นแล้ว set ค่าตามรูปครับ สมมติว่าในรูป ผมโหลด แผ่นที่ 1 กับ 2 เส็ดแล้ว เราก็ไป set ไฟล์ที่ 3 เป็น ระดับ สูงสุด นะครับ และ ไฟล์ 4 เราก็ set ให้มันเป็น สูง ก็ได้ แล้วก็ไล่ลงมา เรื่อยๆ ครับผม

จบบบบบบบบ!! หุหุ ลองใช้ดูครับ

lingzcheer

Web statistics

มารยาทของผู้ใช้ Co-lo

1. ห้ามผู้ใดที่ใช้ Co-Lo ทำการดูด กันเอง ( หากการกระทำเหล่านั้นเป็นการปั่นค่า Ratio)
2. ห้ามผู้ใช้ Co-lo ทำการแย่งดูดไฟล์จากคนอื่นโดยพลการ ( กรุณาทำตามที่ควรจะเป็น แนะนำว่าปล่อย คืนซัก Rate 1.000 ก็พอแล้ว หรือ ถ้าหากว่า เจ้าของไฟล์ต้องการให้ Colo ดูดจริง)


หากข้อมารยาทดังกล่าว ดูเพี้ยนไป หรือไม่เหมาะ สม คุณสามารถวิจารย์ ได้ครับ แต่ขอให้ อยู่ใน สิ่งที่ควรจะเป็นขอบคุณมากครับ

Web statistics

การใช้บริการ โคโล มีกี่แบบเหรอ

การให้บริการ ตอนนี้ ที่เห็นมีอยู่...2แบบอ่ะคับ









(Screen shots of TorrentFlux 1.5)

แบบที่ 1. ใช้งานผ่านหน้าเวบ คล้ายๆ กับที่เราเข้าหน้าเวบ ทั่วไป ต่างกันตรงที่ เราต้อง LogIn เข้ามานะคับ จากนั้นเราก้อ สั่งงานจากหน้าเวบ ในการ โหลด + ปล่อยไฟล์ได้

ข้อดีของแบบที่ 1. เราสามารถใช้งาน หรือ สั่งให้โหลด + ปล่อยไฟล์ได้ในทุกที่ และทุกเวลา ในที่ๆ เราสามารถเชื่อมต่อ Inter Net ได้ (ตามร้านเน๊ตทั่วไป)




(Screen shots of Remote Desktop Connection)

แบบที่ 2. ใช้งานผ่าน Server สั่งงานด้วย Remote Desktop Connection คล้ายๆ กับที่เราเข้าเครื่องคอมบ้าน ทั่วไป ต่างกันตรงที่ เราต้อง LogIn เข้ามานะคับ จากนั้นเราก้อ สั่งงานจากโปรแกรมบนหน้าจอ Desktop ของ Windows ซึ่งทางผู้ให้บริการได้จัดเตรียมไว้ให้แล้วคับ เช่น BitComet ในการ โหลด + ปล่อยไฟล์ เป็นต้น

ข้อเสียของแบบที่ 2. เราสามารถใช้งาน หรือ สั่งให้โหลด + ปล่อยไฟล์ได้ควรจะเป็นที่บ้านเท่านั้น และทุกครั้งเราจะต้อง LogOut ออกทุกครั้ง เหมือนการปิด ตัว Windows ตามร้านเน๊ตทั่วไป ไม่ควรใช้ เนื่องจากว่า ค่า LogIn จะติดอยู่ที่เครื่องนั้นๆ และถ้าหากเราลืม LogOut จะไม่ปลอดภัย (เหมือนกับเราเปิดเครื่อง ของเราทิ้งไว้อ่ะคับ)

แบบที่ 3 WEBUI(Web User Interface)

ข้อดี
มันเป็นลูกผสมที่ออกมาอย่างลงตัวเลย

:: ไม่อืด เหมือน รีโมต ..แต่ จับ Peer ได้ดี ดูดปล่อยไว

:: ใช้งานผ่าน เวป เหมือน Torrent Flux แต่ใช้ง่ายกว่า และรองรับไทย

ข้อเสีย : ใช้งานได้เฉพาะกับ uTorrent 1.6 เท่านนั้น
ใช้งานใน IE6 ไม่ไ้ด้

ปล.แบบที่ 1. เราจะไม่มีโอกาส เห็น ผู้ร่วมเช่าท่านอื่นๆ และใช้งานง่ายกว่ามาก
แบบที่ 2. เราเห็นผู้ร่วมเช่า ทุกคน แต่เราไม่สามารถ เข้าไป ยุ่งกับเค้าได้
แบบที่ 3.เหมือนแบบที่1 แต่ใช้ง่ายกว่าอีก(ง่ายมากๆๆ)

หมายเหตุ : ขั้นตอนและวิธีการใช้งานโดยละเอียด หาอ่านได้จากผู้ใช้บริการที่คุณใช้อยู่นะคับ

ประมาณนี้อ่ะ อธิบายไม่ค่อยเก่งนะ ใครมีอะไรเพิ่มเติม ก้อ ช่วยๆ กันหน่อยนะคับ
to13mail+AoMNaRuK

Web statistics

วิธีการวางโคโลด้วยตนเอง (วางเองใช้เอง)


1. ทำความเข้าใจกันก่อนครับว่าโคโลคือการนำเครื่องคอมพิวเตอร์ของท่านไปวางไว้ที่ IDC : Internet Data Center ซึ่งก็คือผู้ให้บริการเครือข่ายอินเตอร์เน็ตนั่นเอง โดยปกติแล้วผู้ให้บริการ IDC มีหลายเจ้าครับที่นิยมกันก็ได้แก่ Pro-En, Internetthai เป็นต้น สำหรับความเร็วนั้น IDC แต่ละที่มีเครื่องข่ายอยู่ในระดับ Gigabits ขึ้นไปทั้งสิ้น ท่านไม่ต้องห่วงว่าท่านจะใช้เน็ตเน่าแค่ไหน ถ้าวางโคโลรับรองว่าเร็วแน่นอน เพราะท่านจะใช้ความเร็วของ IDC ที่ท่านเลือก เท่าที่ผมใช้ความเร็วสูงสุดที่ทำได้ download 11 MBps / upload 10 MBps

2. ท่านต้องมีเครื่องคอมสำหรับนำไปวางที่ IDC คำถามยอดนิยมคือคอมแบบไหนที่จะนำไปวาง ท่านจะใช้เครื่องประกอบแบบไหนก็ได้ครับ ทั้งนี้ขอให้เป็น Spec ที่สามารถลง Windows XP pro ขึ้นไปได้เป็นพอ แต่ให้ดีแนะนำ P4 2.8 GHz ขึ้นไปครับ RAM 1 GB ขึ้นไป HDD ขึ้นอยู่กับงบประมาณและความต้องการครับ เพราะยิ่งเยอะยิ่งดูดได้มากครับ อุปกรณ์ที่ไม่เน้นคือ การ์ดจอ และการ์ดเสียง ใช้พวก onboard ก็ได้ครับ ที่สำคัญอีกประการคือ LAN CARD ส่วนใหญ่เดี๋ยวนี้มักมี onboard มาเช่นกัน สามารถใช้ได้ครับ สำคัญอีก 2 ประการ คือ CASE ต้องมีพัดลมระบายอากาศที่ดีพอ เพราะท่านจะต้องเปิดเครื่องเป็นเดือนๆ ไม่มีปิด และอีกอันคือ power supply ครับ เอาที่มันคุณภาพดีหน่อยครับ เพราะเครื่องพวกนี้เปิดแบบมาราธอน

3. เมื่อมีเครื่องแล้ว ท่านก็ต้องลง OS ครับ แบบง่ายๆคือ ลง Windows XP pro หรือจะลง Windows 2003 Server ก็ได้ครับ หลังจากนั้นลงโปรแกรมที่จะใช้ในการเล่นบิทอาทิ Bitcomet เวอร์ชั่นที่นิ่งๆแนะนำให้ใช้คือ Version 0.63 ครับ อาจจะลง uTorrent 1.50 ไว้เป็นทางเลือก แล้วก็ลงโปรแกรม Serv-U FTP server ไว้สำหรับโหลดไฟล์กลับผ่านทาง FTP ครับ และสำคัญที่สุดคือท่านต้องเปิด Remote Desktop Connection ให้เป็น Enable โดยการ คลิกขวาที่ My Computer แล้วเลือก Properties จะมีหน้าต่าง System Properties ปรากฏขึ้นเลือก Tab Remote แล้วคลิกเครื่องหมายถูกที่ Allow users to connect remotely to this computer แล้วคลิกที่ปุ่ม Select Remote User ทำการเพิ่ม user ที่จะสามารถเชื่อมต่อแบบ Remote ได้ เสร็จแล้วคลิก Apply แล้วคลิก Ok เพียงเท่านี้เครื่องท่านก็พร้อมที่จะนำไปวางแล้วครับ

4. ติดต่อกับผู้ให้บริการที่ท่านอยากนำไปวางครับ

ปล. วิธีนี้ใช้ทุนสูงครับ ถ้ายังไม่มีรายได้อยากใช้โคโลแนะให้ใช้แบบแบ่งเช่าดีกว่าครับ

tum444

Web statistics
 
Google
 
Web thaibit.blogspot.com